4 ก.ค. 2561 16:28   4310 ผู้ชม
 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสำเร็จของ บริษัท แอปเปิ้ล ในวันนี้ยังอยู่ภายใต้เงา สตีฟ จ็อบส์

หนังสือชีวประวัติของเขาที่เขียนโดย วอลเตอร์ ไอแซคสัน บอกให้เรารู้ว่า สตีฟ จ็อบส์ เป็นผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม แต่กว่าจะประสบความสำเร็จได้นั้นไม่ง่าย

และหนึ่งในวิธีที่ทำให้ สตีฟ จ็อบส์ ประสบความสำเร็จที่คุณอาจไม่เคยรู้ คือ สตีฟ จ็อบส์ เป็นคนที่กล้าขอความช่วยเหลือ

 

คนส่วนใหญ่ไม่เคยยกโทรศัพท์ขึ้นแล้วโทรหาใครสักคนเพื่อขอความช่วยเหลือ


และนั่นคือสิ่งที่แบ่งแยกระหว่างคนที่ตั้งใจจริง กับคนที่ฝันกลางวัน

 

ทำไมการขอความช่วยเหลือจึงเป็นจุดเริ่มต้นความสำเร็จของ สตีฟ จ็อบส์

ในสารคดี Steve Jobs: Visionary Entrepreneur ที่เผยแพร่ทางช่องยูทูบของสมาคมประวัติศาสตร์ซิลิคอนวัลเลย์ (Silicon Valley Historical Association) จ็อบส์ได้เล่าเรื่องของเขาตอนอายุ 12 ปีว่า ตอนนั้นเขามองหาของที่จะเป็นอะไหล่ในการสร้างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่รู้จักกันในชื่อ ‘เครื่องนับความถี่’ ด้วยการเปิดสมุดโทรศัพท์เมืองพาโลอัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย และหาเบอร์ บิล ฮิวเลตต์ (Bill Hewlett) ผู้ก่อตั้งบริษัท Hewlett-Packard (HP) ซึ่งผลิตอุปกรณ์ที่เขากำลังตามหา จากนั้นจ็อบส์ตัดสินใจโทรศัพท์ทันทีเพื่อขอความช่วยเหลือ

“ผมอยากสร้างเครื่องนับความถี่ และถ้าคุณพอจะมีอะไหล่ที่ผมอยากจะได้…”

เขาบอกว่าบิลไม่ได้ให้เขาแค่อะไหล่เท่านั้น แต่บิลให้งานเขาทำในช่วงซัมเมอร์ที่บริษัท Hewlett-Packard (HP) ในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต โดยเขาเป็นคนใส่น็อตและเกลียวของเครื่องนับความถี่

“เขาให้งานผมทำในโรงงานผลิตอุปกรณ์พวกนั้น ผมดีใจสุดๆ และมีความสุขมาก…”

ถึงตรงนี้คุณอาจสงสัยว่า ทำไมเด็กอายุแค่ 12 ปี ถึงกล้าโทรศัพท์หาผู้ก่อตั้งบริษัทด้านเทคโนโลยีชื่อดังเพื่อขอความช่วยเหลือ ขณะที่หลายคนอาจกลัว  เกรงใจ หรือกระทั่งไม่กล้าพอที่จะทำเช่นนั้น

 

ถ้าคุณกลัวความล้มเหลว คุณก็ไปไม่ได้ไกล

 

แต่สตีฟ จ็อบส์ กล้าคิดและลงมือทำ และนี่คือจุดเริ่มต้นของความสำเร็จของเขา

“คนส่วนใหญ่ไม่เคยยกโทรศัพท์ขึ้นแล้วโทรหาใครสักคนเพื่อขอความช่วยเหลือ และนั่นคือสิ่งที่แบ่งแยกระหว่างคนที่ตั้งใจจริง กับคนที่ฝันกลางวัน”

สตีฟ จ็อบส์ มองว่าการร้องขอความช่วยเหลือที่อาจดูน่าอับอายในบางครั้ง ทำให้เขาได้ครอบครองในสิ่งที่ต้องการจริงๆ ในขณะที่การไม่ร้องขอสิ่งใดเลย อาจทำให้โอกาสดีๆ สูญหายไปต่อหน้าต่อตา

“ในชีวิตผม มีหลายครั้งที่ผมต้องดิ้นรน รวบรวมความกล้าเพื่อร้องขอบางอย่างที่ต้องการ ทั้งกลัวว่าจะถูกปฏิเสธ หรือว่ารู้สึกสมเพชตัวเองที่ต้องไปขอร้องใคร แต่ก็มีหลายครั้งที่ได้ผลลัพธ์ออกมาน่าพอใจ เพราะผมกล้าที่จะร้องขอ

“เช่นตอนที่ผมและเพื่อนสนิทฉลองเรียนจบอยู่ในคลับช่วงสุดสัปดาห์ ผมเอ่ยขอสาวสวยที่เป็นเพื่อนของเพื่อนร่วมห้องผม เต้นรำกับผม (เธอตอบตกลง และเราก็เต้นรำกันตามโอกาส อย่างน้อยก็วันนี้ล่ะ)

“หรือจะเป็นตอนที่ผมใช้ความกล้าขอเลื่อนตำแหน่งครั้งแรก และได้เลื่อนตำแหน่งหลังจาก 4 ปีแห่งการรอคอยและความหวังที่จะได้เลื่อนขั้น” จ็อบส์กล่าว

จ็อบส์เล่าอีกว่า เขาแทบไม่เคยเจอคนที่ปฏิเสธโทรศัพท์ของเขา หรือวางโทรศัพท์ใส่เขาเลยเวลาที่เขาโทรหา โดยให้เหตุผลว่า มันต้องมีทักษะในการขอความช่วยเหลือเพื่อจะได้บางอย่างที่คุณต้องการ เช่น การร้องขอต้องอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ประเมินสถานการณ์ว่าเขาต้องการอะไร แล้วให้ข้อเสนอที่ทำให้ทั้งคุณและเขาได้ประโยชน์

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา สตีฟ จ็อบส์ ขอความช่วยเหลือจากคนมานับไม่ถ้วน และเมื่อไหร่ที่มีคนมาขอความช่วยเหลือจากเขา เขาจะพยายามช่วยอย่างเต็มที่เพื่อตอบแทนบุญคุณ

“ถ้าคุณกลัวความล้มเหลว คุณก็ไปไม่ได้ไกล”

 

คุณต้องทำในสิ่งที่ต้องทำ และคุณต้องเต็มใจที่จะพบกับความล้มเหลว

พร้อมที่จะพุ่งชนทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะกับคนในโทรศัพท์ หรือกับการเริ่มทำงานใหม่ หรืออะไรก็ตาม

 

จ็อบส์เล่าว่า การไม่ยอมเอ่ยปากร้องขอความช่วยเหลือในสิ่งที่ต้องการ เป็นการสูญเสียโอกาสดี แม้ว่าจะไม่มีใครอยากโดนตราหน้าว่าเป็น ‘คนล้มเหลว’ แต่คนที่ประสบความสำเร็จอย่าง สตีฟ จ็อบส์ ผ่านความล้มเหลวมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตนเองร่วมก่อตั้ง หรือยอดขายของผลิตภัณฑ์ใหม่ล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังลงมือทำตามความฝัน และเดินหน้าต่อไปโดยไม่กลัวว่าเขาจะล้มเหลว

“คุณต้องทำในสิ่งที่ต้องทำ และคุณต้องเต็มใจที่จะพบกับความล้มเหลว พร้อมที่จะพุ่งชนทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะกับคนในโทรศัพท์ หรือกับการเริ่มทำงานใหม่ หรืออะไรก็ตาม

“ลองคิดว่าอะไรที่คุณต้องการจริงๆ แล้วลุยเข้าไปทำสิ่งที่ต้องการ ให้เวลาและพลังกับสิ่งนั้นเพื่อเรียนรู้ทักษะ ความรู้ และประสบการณ์ใหม่ๆ ลงทุนไปกับความสัมพันธ์ที่คุณต้องการเรียกใช้เมื่อคุณพร้อม และเมื่อคุณรู้สึกว่ามันถึงเวลา ที่สำคัญอย่าลืมที่จะทำสิ่งหนึ่งที่จะช่วยคุณได้สิ่งที่ต้องการ นั่นคือ การขอความช่วยเหลือ”

เมื่อลองคิดดูแล้ว กลยุทธ์การขอความช่วยเหลือของ สตีฟ จ็อบส์ สอนให้รู้ว่า การขอความช่วยเหลือจากใครสักคนไม่ใช่เรื่องผิดหรือน่าอาย ขณะที่คนที่ไม่คิดจะทำอะไรเลยต่างหากที่น่าอาย

ฉะนั้นถ้าต้องการความช่วยเหลือ จงขอความช่วยเหลือ เพราะอย่างน้อยที่สุดการลงมือทำก็ทำให้คุณไม่ปล่อยโอกาสดีๆ หลุดมือ!

 

อ้างอิง:

 

ขอบคุณบทความดีๆ จาก www.themomentum.co 

ต้นฉบับ https://themomentum.co/successful-advice-and-how-to-steve-jobs/

 

*beta version

Facebook Comment

บทความน่าสนใจอื่นๆ

ในยุคที่คนรุ่นใหม่ หรือ ‘คนรุ่นมิลเลนเนียล’ มีบทบาทสำคัญในสนามการทำงาน ฝ่ายทรัพยากรบุคคลของแต่ละองค์กรจึงต้องมีการปรับตัวและวางแผนเพื่อรับมือกับแนวทางการสรรหาบุคลากร เพื่อตอบโจทย์ของแต่ละแผนกในองค์กร เนื่องจากคนรุ่นมิลเลนเนียลมีแนวคิดและทัศนคติที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อน เพราะฉะนั้น การทำความเข้าใจคนรุ่นต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรในยุคนี้มาก   รายได้ไม่ใช่ปัจจัยหลัก   ข้อมูลจาก jobsDB.com ระบุว่า ‘รายได้’ ไม่ได้เป็นเพียงปัจจัยเดียวที่ส่งผลต่อการเลือกสมัครงาน แต่ ‘วิถีชีวิต’ ระหว่างการทำงานก็มีผลต่อการพิจารณาเช่นกัน เช่น สำนักงานตั้งอยู่บริเวณไหน เดินทางไปทำงานอย่างไร ใช้เวลาเดินทางมากน้อยแค่ไหน และสภาพแวดล้อมในที่ทำงานเป็นอย่างไร การศึกษาพฤติกรรมของคน Gen Y และ Gen Z ที่กำลังเข้าสู่ตลาดงาน เกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการพิจารณาเลือกงาน พบว่า 1. มีความคาดหวังต่อสถานที่ทำงานว่าจะต้องทันสมัย เช่น มีอาหารหรือห้องพักผ่อนให้กับพนักงาน 2. องค์กรต้องมีสวัสดิการที่ดึงดูดใจ เช่น โบนัสที่เหมาะสม มีการฝึกอบรมหรือการสัมมนาให้กับพนักงาน กำหนดแนวทางการพัฒนาและการเติบโตในหน้าที่การงานอย่างชัดเจน 3. องค์กรควรมีทัศนคติแและแนวคิดต่ออาชีพ เช่น มีสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวกับการทำงาน ช่วงเวลาทำงานที่ยืดหยุ่น และไม่มีช่องว่างระหว่างผู้บริหารกับพนักงาน 4. มีวิธีการทำงานร่วมกัน โดยเข้าใจคุณลักษณะของทุกเจนอย่างลึกซึ้ง ใช้การสื่อสารเพื่อลดช่องว่างระหว่างเจน รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นและร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหา   บทบาทของเทคโนโลยีต่อการหางานและสมัครงาน ผู้บริหารและฝ่ายทรัพยากรบุคคลของแต่ละองค์กรจะต้องทำความเข้าใจพฤติกรรมและแนวทางการหางานของคนเจนต่างๆ เพื่อปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก และเพิ่มโอกาสในการรับคนที่มีศักยภาพเข้ามาทำงานในองค์กร ดังนี้ ผู้หางานไม่ได้มีเพียงกลุ่มที่ตั้งใจหางาน หรือคนที่ว่างเว้นจากการหางานมานานและไม่คิดจะหางาน แต่ยังมีกลุ่มที่ไม่ได้ตั้งใจหางาน แต่หากมีโอกาสดีๆ เข้ามาก็ยินดีรับไว้ เงินเดือน/ค่าตอบแทนไม่ได้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่จูงใจผู้หางาน จึงต้องพิจารณาให้ดีว่าจะเขียนประกาศงานอย่างไรให้มีสิทธิประโยชน์ครอบคลุมที่สุด การเติบโตของการใช้สมาร์ทโฟน ทำให้ต้องหาวิธีการสื่อสารหรือการสร้างความสัมพันธ์กับผู้หางานระหว่างการเดินทาง ช่องทางออนไลน์ยังคงเป็นช่องทางหลักในการสรรหาคน   สำหรับแนวโน้มการหางานในปัจจุบัน การสำรวจในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2559 ถึงเดือนมกราคม 2560 พบว่า 65% ของผู้ประกอบการใช้เว็บไซต์หางานเป็นช่องทางหลักในการหาผู้สมัครงาน และ 74% ของผู้หางาน ค้นหาและสมัครงานผ่านเว็บไซต์หางาน ซึ่งช่องทางที่ได้รับความนิยมสูงสุด 3 ช่องทาง ได้แก่ สื่อออนไลน์ (74%) ติดต่อผู้ประกอบการโดยตรง (34%) และการบอกต่อ (26%) สำหรับพฤติกรรมการหางานในปัจจุบัน ผู้หางานส่วนใหญ่หางานและเลือกสมัครงานผ่านโทรศัพท์มือถือ ไม่ใช่คอมพิวเตอร์ส่วนตัวอีกต่อไป โดยหางานผ่านโทรศัพท์มือถือ 67% คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล 33% และสมัครงานผ่านโทรศัพท์มือถือ 51% ขณะที่สมัครงานผ่านคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล 49% นางนพวรรณ จุลกนิษฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงบทบาทของเทคโนโลยีที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานในปัจจุบันว่า “Internet of Things (IoTs) จะเข้ามามีบทบาทอย่างมาก ทั้งการสื่อสารในองค์กร การสรรหาพนักงาน รวมถึงวิธีการทำงานและสถานที่ทำงาน ที่เห็นอย่างได้ชัดเจนคือการเติบโตของ digital workplace การเติบโตของ mobile technology รูปแบบการทำงานจะเปลี่ยนแปลงจาก work-life balance เป็น weisuretime ซึ่งรูปแบบการทำงานดังกล่าวจะไม่มีเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างโลกการทำงานและโลกส่วนตัว” ในมุมของผู้หางาน Gen Y และ Gen Z ก็จำเป็นต้องสำรวจตัวเอง รวมถึงทำความรู้จักองค์กรแต่ละประเภทว่าเราเหมาะที่จะทำงานในองค์กรแบบไหน เพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจก่อนสมัครงานหรือตอบรับเข้าทำงาน องค์กรที่เป็นตลาดงานในปัจจุบันแบ่งได้ดังนี้   บทบาทของเทคโนโลยีต่อการหางานและสมัครงาน สำหรับเด็กจบใหม่และคนในยุคนี้ ถ้าชอบความเป็นอิสระและกล้าได้กล้าเสีย องค์กรแบบนี้อาจจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะเหมาะกับคนที่ต้องการเวทีในการแสดงความสามารถ ความคิดสร้างสรรค์ และต้องการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ส่วนคนที่มีประสบการณ์แล้ว องค์กรแบบนี้เหมาะกับคนที่สนใจในการให้คำปรึกษาเพื่อขับเคลื่อนองค์กร ซึ่งถ้าเลือกที่จะเติบโตไปกับองค์กร ก็ต้องพร้อมเผชิญกับปัญหา ทำงานได้หลายหน้าที่ และทำงานไม่เป็นเวลา   องค์กรแบบ Startups สำหรับเด็กจบใหม่และคนในยุคนี้ ถ้าชอบความเป็นอิสระและกล้าได้กล้าเสีย องค์กรแบบนี้อาจจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะเหมาะกับคนที่ต้องการเวทีในการแสดงความสามารถ ความคิดสร้างสรรค์ และต้องการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ส่วนคนที่มีประสบการณ์แล้ว องค์กรแบบนี้เหมาะกับคนที่สนใจในการให้คำปรึกษาเพื่อขับเคลื่อนองค์กร ซึ่งถ้าเลือกที่จะเติบโตไปกับองค์กร ก็ต้องพร้อมเผชิญกับปัญหา ทำงานได้หลายหน้าที่ และทำงานไม่เป็นเวลา   องค์กรแบบ SMEs สามารถทำงานและเติบโตไปพร้อมกับองค์กรได้คล้ายกับ Startups แต่จะมีเวลาทำงานที่แน่นอน เนื่องจากโครงสร้างองค์กรแบบนี้เป็นระบบมากขึ้น มีทีมงานมากขึ้น จึงกระจายงานได้ จัดสมดุลชีวิตกับการทำงานได้มากกว่า รวมถึงอาจมีโอกาสก้าวหน้าในสายงาน เพราะเป็นองค์กรขนาดเล็ก คนทำงานไม่เยอะ การแข่งขันจึงมีน้อย   องค์กรขนาดใหญ่ หากต้องการความมั่นคงด้านการเงินและความก้าวหน้าในสายอาชีพที่ชัดเจน องค์กรแบบนี้ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ในบางครั้งคุณอาจรู้สึกเหมือนเป็นปลาตัวเล็กในบ่อใหญ่ คุณจะได้รับบทบาทหน้าที่ในการทำงานชัดเจน แต่อิสระในการสร้างสรรค์งานอาจจะมีไม่มาก เพราะข้อบังคับต่างๆ นานา แต่องค์กรแบบนี้ย่อมให้ค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์ดีที่สุด   องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร เหมาะกับคนที่รักการบริการและมีจิตกุศล เพราะองค์กรมุ่งเน้นการทำงานเพื่อสังคมมากกว่าการหาผลกำไร รูปแบบการทำงานมักมีขอบเขตกว้าง ตั้งแต่ชุมชนขนาดเล็กไปจนถึงหน่วยงานขนาดใหญ่ ขณะที่ทุกตำแหน่งมีความสำคัญทัดเทียมกัน โดยไม่เกี่ยวกับอายุงาน   การสำรวจตัวเองว่าเหมาะกับองค์กรแบบไหน ย่อมเป็นตัวช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น แต่ความสอดคล้องของเนื้องานในตำแหน่งนั้นๆ และศักยภาพส่วนบุคคลย่อมมีความสำคัญที่สุด เพราะสิ่งนี้เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการรับเข้าทำงาน และส่งผลต่อการเลือกสมัครงานของผู้หางานเช่นกัน เพราะการทำงานที่เหมาะกับตัวเองโดยไม่ประเมินตัวเองต่ำหรือสูงเกินไป ย่อมมีประสิทธิภาพ ดีต่อใจและการเติบโต มากกว่าทำงานที่ตัวเองไม่ถนัด เพราะไม่อย่างนั้น ชีวิตการทำงานอาจจะยากแบบ ‘เข็นครกขึ้นภูเขา’ และผู้จ้างก็อาจต้องกุมขมับ เพราะไม่ได้ put the right man in the right job     ขอบคุณบทความดีๆ จาก www.themomentum.co  ต้นฉบับ https://themomentum.co/successful-gen-y-gen-z/   *beta version
5 เกมสนุกๆ ชิวๆ ที่เหมาะมาก! กับคนวัยทำงาน แอดมินเป็นหนึ่งคนค่ะ ที่ชอบเล่นเกมมากกกกกกก วันไหนเครียด วันไหนว้าวุ่น เกมจะเป็นสิ่งที่คอยปลดเปลื้องความตึงเครียดของแอดมินได้ และตามหลักแล้วเมื่อเราเจออะไรดีๆ ก็ไม่ควรเก็บไว้คนเดียว ดังนั้นแล้วแอดมินจึงคัดเน้นๆ เกมที่เล่นแล้วสนุกมาแนะนำเกมให้เพื่อนๆ ได้ลองเล่นกันค่ะ   1. Stardew Valley Stardew Valley เป็นเกมแนวปลูกผักทำสวนที่จะพาคุณหลุดออกจากโลกแห่งการทำงานในออฟฟิศป่าคอนกรีดที่สุดแสนจะอับทึบ ด้วยดนตรีที่ผ่อนคลาย ฟังแล้วคิดถึงธรรมชาติ เสียงน้ำไหล และรูปแบบการเล่นที่สนุกสนานจนแทบไม่อยากวางมือ จึงเป็นเกมที่เราแนะนำอยากให้คุณลองดูซักครั้ง ด้วยงบประมาณที่ไม่เกิน 500 บาท และไม่กินทรัพยากรคอมพิวเตอร์มาก (ผู้เขียนใช้คอมพิวเตอร์รุ่นเก่าเมื่อ 9 ปีที่แล้วก็ยังสามารถเล่นได้) คะแนน: 10/10 อาชีพที่เหมาะกับเกมนี้: นักสร้างทั้งหลาย(สถาปนิก, วิศวกร ฯลฯ), ชาวสวน, คนที่รักธรรมชาติ, คนที่อยากผ่อนคลาย ราคา: Steam 315 บาท, App Store 279 บาท, Play Store เกมรอวางจำหน่าย ดาวน์โหลด:     2. Dungeon Maker เป็นคนดีในที่ทำงานมาเยอะแล้วใช่ไหม ลองมาเป็นจอมมารดูกันบ้าง กับเกม Dungeon maker เกมแนววางแผนสร้างกับดักในห้องของจอมมารเพื่อเล่นงานเหล่าผู้กล้าที่ทำเท่มาบุกรังของคุณซึ่งเล่นเพลินมากๆ ลักษณะการเล่นจะเป็นรอบๆ เมื่อจบ 1 รอบเกมจะบันทึกอัตโนมัติ จึงเหมาะมากสำหรับคนที่ต้อง standby หรือรองาน เพราะหากงานเข้าก็สามารถปิดเกมแล้วทำธุระต่อได้ทันที ราคาก็ถูกแสนถูก แอดมินได้มาในช่วงลดราคาอยู่ที่ประมาณ 30 บาท แต่ช่วงที่ไม่ลดราคา จะอยู่ที่ประมาณ 90 บาท และเป็นเกมที่ทางผู้พัฒนาขยันออกลูกเล่นมาให้คนซื้อได้ลองอยู่เรื่อยๆ ด้วย บอกได้ว่าคุ้มค่ามากๆ ราคาเท่าข้าวแค่สองจานแบบนี้ ต้องลองค่ะ! คะแนน: 9.5/10 อาชีพที่เหมาะกับเกมนี้: ทุกอาชีพ ราคา: App Store 99 บาท, Play Store 89 บาท ดาวน์โหลด:     3. Pokemon Shuffle สำหรับคนที่รักชอบในความน่ารักของเหล่าโปเกม่อน และชื่นชอบเกมใช้สมอง Pokemon Shuffle เป็นเกมแนว Puzzle ที่ให้คุณเรียงหน้าโปเกม่อนให้เป็นเส้นตรงอย่างน้อย 3 ชิ้น เมื่อเรียงจนครบ เราจะได้สิทธิ์ในการจับโปเกม่อนตัวดังกล่าว และเมื่อจับได้ เราสามารถนำโปเกม่อนที่จับมาได้มาใช้ในการช่วยจับโปเกม่อนตัวอื่นๆ อีก เหมาะมากกับสาวๆ ที่ชอบความท้าทายของเกม puzzle ยิ่งด่านหลังๆ นะคุณเอ๊ย ยากจนไม่กล้าคิดว่านี่เป็นเกมเด็กๆ เลยล่ะ และเกมนี้เล่นฟรีจ้า (เติมเงินได้นะเกมนี้) คะแนน: 7/10 แต่ถ้าติดเมื่อไหร่ 8.5/10 อาชีพที่เหมาะกับเกมนี้: นักเรียนนักศึกษา, พนักงานออฟฟิศ ราคา: Free ดาวน์โหลด:     4. surviv.io หลายๆคนคงชอบเกม PUBG ที่ฮิตอย่างถล่มทลายในช่วงปีที่ผ่านมา surviv.io เป็นเกมที่สร้างมาและใช้กติกาเดียวกับ PUBG เปี๊ยบ หากแต่ลดทอนรายละเอียดลงให้เหลือเพียงแค่รูปทรงเรขาคณิต โดยเราสามารถเปิดเล่นได้ใน browser ได้เลย เพียงแค่เข้าไปที่เว็บไซต์ http://surviv.io ซึ่งแน่นอนว่าฟรี! และยังสามารถจับคู่เล่นกับผู้อื่นได้ด้วย หรือตั้งทีมเล่นกับเพื่อนสนิทได้ด้วยค่ะ คะแนน: เล่นคนเดียว 9/10 ถ้ามีเพื่อนที่รู้ใจเล่นด้วย 10/10 อาชีพที่เหมาะกับเกมนี้: นักเรียนนักศึกษา, คนที่ชอบเกมแนว PUBG ราคา: Free Link: surviv.io     5. Pocket City  สำหรับนักสร้างบ้านสร้างเมือง หรือคนที่ไม่พอใจรัฐบาลเรื่องผังเมือง เราขอแนะนำ Pocket City เกมสร้างเมืองที่เล่นเพลินและง่ายมากๆ เพียงแค่คุณจัดสรรให้ดี สร้างทรัพยากรและถนนตามที่ประชาชนต้องการ ในเกมจะมี quest เพื่อช่วยสอนและทำให้เราสร้างเมืองอย่างมีจุดมุ่งหมาย เกมนี้มีทั้งแบบฟรีและเสียเงิน ลองดูนะคะเหล่านักเล่นเดอะซิมส์และนักสร้างทั้งหลาย คะแนน: 7/10 อาชีพที่เหมาะกับเกมนี้: สถาปนิก, วิศวกร, ราชการผังเมือง, คนที่รักในการสร้างสรรค์และออกแบบ ราคา: App Store 139 บาท, Play Store 125 บาท ดาวน์โหลด:   หลายๆ คนก็อาจจะงงนะคะ ว่าทำไมเราถึงเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องเกม แต่แอดมินคิดว่าเราทุกคนทำงานหรือหางานก็ตึงเครียดพออยู่แล้วใช่ไหมคะ เกมเป็นอะไรที่สามารถผ่อนคลายความเครียดให้กับเราได้ในราคาที่ไม่แพง ดังนั้นแอดมินจึงอยากนำเสนอเกมดีๆ ให้เราได้ผ่อนคลายกัน  อ้อ อย่าเล่นเพลินจนลืมทำงานนะคะ เดี๋ยวจะตกงานเอา แต่ถ้าตกงานขึ้นมา Job-D ช่วยคุณหางานใหม่ได้นะคะ แล้วพบกันใหม่บทความหน้าค่ะ รอดูนะคะว่าเราจะมีอะไรดีๆ มานำเสนออีก :)
ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสำเร็จของ บริษัท แอปเปิ้ล ในวันนี้ยังอยู่ภายใต้เงา สตีฟ จ็อบส์ หนังสือชีวประวัติของเขาที่เขียนโดย วอลเตอร์ ไอแซคสัน บอกให้เรารู้ว่า สตีฟ จ็อบส์ เป็นผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม แต่กว่าจะประสบความสำเร็จได้นั้นไม่ง่าย และหนึ่งในวิธีที่ทำให้ สตีฟ จ็อบส์ ประสบความสำเร็จที่คุณอาจไม่เคยรู้ คือ สตีฟ จ็อบส์ เป็นคนที่กล้าขอความช่วยเหลือ   คนส่วนใหญ่ไม่เคยยกโทรศัพท์ขึ้นแล้วโทรหาใครสักคนเพื่อขอความช่วยเหลือ และนั่นคือสิ่งที่แบ่งแยกระหว่างคนที่ตั้งใจจริง กับคนที่ฝันกลางวัน   ทำไมการขอความช่วยเหลือจึงเป็นจุดเริ่มต้นความสำเร็จของ สตีฟ จ็อบส์ ในสารคดี Steve Jobs: Visionary Entrepreneur ที่เผยแพร่ทางช่องยูทูบของสมาคมประวัติศาสตร์ซิลิคอนวัลเลย์ (Silicon Valley Historical Association) จ็อบส์ได้เล่าเรื่องของเขาตอนอายุ 12 ปีว่า ตอนนั้นเขามองหาของที่จะเป็นอะไหล่ในการสร้างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่รู้จักกันในชื่อ ‘เครื่องนับความถี่’ ด้วยการเปิดสมุดโทรศัพท์เมืองพาโลอัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย และหาเบอร์ บิล ฮิวเลตต์ (Bill Hewlett) ผู้ก่อตั้งบริษัท Hewlett-Packard (HP) ซึ่งผลิตอุปกรณ์ที่เขากำลังตามหา จากนั้นจ็อบส์ตัดสินใจโทรศัพท์ทันทีเพื่อขอความช่วยเหลือ “ผมอยากสร้างเครื่องนับความถี่ และถ้าคุณพอจะมีอะไหล่ที่ผมอยากจะได้…” เขาบอกว่าบิลไม่ได้ให้เขาแค่อะไหล่เท่านั้น แต่บิลให้งานเขาทำในช่วงซัมเมอร์ที่บริษัท Hewlett-Packard (HP) ในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต โดยเขาเป็นคนใส่น็อตและเกลียวของเครื่องนับความถี่ “เขาให้งานผมทำในโรงงานผลิตอุปกรณ์พวกนั้น ผมดีใจสุดๆ และมีความสุขมาก…” ถึงตรงนี้คุณอาจสงสัยว่า ทำไมเด็กอายุแค่ 12 ปี ถึงกล้าโทรศัพท์หาผู้ก่อตั้งบริษัทด้านเทคโนโลยีชื่อดังเพื่อขอความช่วยเหลือ ขณะที่หลายคนอาจกลัว  เกรงใจ หรือกระทั่งไม่กล้าพอที่จะทำเช่นนั้น   ถ้าคุณกลัวความล้มเหลว คุณก็ไปไม่ได้ไกล   แต่สตีฟ จ็อบส์ กล้าคิดและลงมือทำ และนี่คือจุดเริ่มต้นของความสำเร็จของเขา “คนส่วนใหญ่ไม่เคยยกโทรศัพท์ขึ้นแล้วโทรหาใครสักคนเพื่อขอความช่วยเหลือ และนั่นคือสิ่งที่แบ่งแยกระหว่างคนที่ตั้งใจจริง กับคนที่ฝันกลางวัน” สตีฟ จ็อบส์ มองว่าการร้องขอความช่วยเหลือที่อาจดูน่าอับอายในบางครั้ง ทำให้เขาได้ครอบครองในสิ่งที่ต้องการจริงๆ ในขณะที่การไม่ร้องขอสิ่งใดเลย อาจทำให้โอกาสดีๆ สูญหายไปต่อหน้าต่อตา “ในชีวิตผม มีหลายครั้งที่ผมต้องดิ้นรน รวบรวมความกล้าเพื่อร้องขอบางอย่างที่ต้องการ ทั้งกลัวว่าจะถูกปฏิเสธ หรือว่ารู้สึกสมเพชตัวเองที่ต้องไปขอร้องใคร แต่ก็มีหลายครั้งที่ได้ผลลัพธ์ออกมาน่าพอใจ เพราะผมกล้าที่จะร้องขอ “เช่นตอนที่ผมและเพื่อนสนิทฉลองเรียนจบอยู่ในคลับช่วงสุดสัปดาห์ ผมเอ่ยขอสาวสวยที่เป็นเพื่อนของเพื่อนร่วมห้องผม เต้นรำกับผม (เธอตอบตกลง และเราก็เต้นรำกันตามโอกาส อย่างน้อยก็วันนี้ล่ะ) “หรือจะเป็นตอนที่ผมใช้ความกล้าขอเลื่อนตำแหน่งครั้งแรก และได้เลื่อนตำแหน่งหลังจาก 4 ปีแห่งการรอคอยและความหวังที่จะได้เลื่อนขั้น” จ็อบส์กล่าว จ็อบส์เล่าอีกว่า เขาแทบไม่เคยเจอคนที่ปฏิเสธโทรศัพท์ของเขา หรือวางโทรศัพท์ใส่เขาเลยเวลาที่เขาโทรหา โดยให้เหตุผลว่า มันต้องมีทักษะในการขอความช่วยเหลือเพื่อจะได้บางอย่างที่คุณต้องการ เช่น การร้องขอต้องอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ประเมินสถานการณ์ว่าเขาต้องการอะไร แล้วให้ข้อเสนอที่ทำให้ทั้งคุณและเขาได้ประโยชน์ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา สตีฟ จ็อบส์ ขอความช่วยเหลือจากคนมานับไม่ถ้วน และเมื่อไหร่ที่มีคนมาขอความช่วยเหลือจากเขา เขาจะพยายามช่วยอย่างเต็มที่เพื่อตอบแทนบุญคุณ “ถ้าคุณกลัวความล้มเหลว คุณก็ไปไม่ได้ไกล”   คุณต้องทำในสิ่งที่ต้องทำ และคุณต้องเต็มใจที่จะพบกับความล้มเหลว พร้อมที่จะพุ่งชนทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะกับคนในโทรศัพท์ หรือกับการเริ่มทำงานใหม่ หรืออะไรก็ตาม   จ็อบส์เล่าว่า การไม่ยอมเอ่ยปากร้องขอความช่วยเหลือในสิ่งที่ต้องการ เป็นการสูญเสียโอกาสดี แม้ว่าจะไม่มีใครอยากโดนตราหน้าว่าเป็น ‘คนล้มเหลว’ แต่คนที่ประสบความสำเร็จอย่าง สตีฟ จ็อบส์ ผ่านความล้มเหลวมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตนเองร่วมก่อตั้ง หรือยอดขายของผลิตภัณฑ์ใหม่ล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังลงมือทำตามความฝัน และเดินหน้าต่อไปโดยไม่กลัวว่าเขาจะล้มเหลว “คุณต้องทำในสิ่งที่ต้องทำ และคุณต้องเต็มใจที่จะพบกับความล้มเหลว พร้อมที่จะพุ่งชนทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะกับคนในโทรศัพท์ หรือกับการเริ่มทำงานใหม่ หรืออะไรก็ตาม “ลองคิดว่าอะไรที่คุณต้องการจริงๆ แล้วลุยเข้าไปทำสิ่งที่ต้องการ ให้เวลาและพลังกับสิ่งนั้นเพื่อเรียนรู้ทักษะ ความรู้ และประสบการณ์ใหม่ๆ ลงทุนไปกับความสัมพันธ์ที่คุณต้องการเรียกใช้เมื่อคุณพร้อม และเมื่อคุณรู้สึกว่ามันถึงเวลา ที่สำคัญอย่าลืมที่จะทำสิ่งหนึ่งที่จะช่วยคุณได้สิ่งที่ต้องการ นั่นคือ การขอความช่วยเหลือ” เมื่อลองคิดดูแล้ว กลยุทธ์การขอความช่วยเหลือของ สตีฟ จ็อบส์ สอนให้รู้ว่า การขอความช่วยเหลือจากใครสักคนไม่ใช่เรื่องผิดหรือน่าอาย ขณะที่คนที่ไม่คิดจะทำอะไรเลยต่างหากที่น่าอาย ฉะนั้นถ้าต้องการความช่วยเหลือ จงขอความช่วยเหลือ เพราะอย่างน้อยที่สุดการลงมือทำก็ทำให้คุณไม่ปล่อยโอกาสดีๆ หลุดมือ!   อ้างอิง: https://www.youtube.com/watch?v=zkTf0LmDqKI http://www.inc.com/glenn-leibowitz/how-to-use-steve-jobss-insanely-simple-strategy-for-getting-what-you-want.html?cid=cp01002fastco   ขอบคุณบทความดีๆ จาก www.themomentum.co  ต้นฉบับ https://themomentum.co/successful-advice-and-how-to-steve-jobs/   *beta version
https://soundcloud.com/daypoets/the-momentum-carpe-diem-ep013  ประสบการณ์สมัครงานครั้งแรก 02.35 ประสบการณ์การสมัครงานครั้งแรกของหนุ่มเมืองจันท์นั้นเริ่มต้นจากการชักชวนของรุ่นพี่ ว่าตอนนี้ที่มติชนกำลังรับสมัครนักข่าวอยู่ แม้จะจบออกมาด้วยเกรดที่ไม่ดีนัก แต่ด้วยประสบการณ์ที่ทำกิจกรรมนักศึกษา ต้องหาข้อมูลความรู้รอบตัวและข่าวสารบ้านเมืองเยอะก็ทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้น เมื่อถึงรอบสัมภาษณ์ก็สามารถตอบคำถามได้จากการติดตามอ่านข่าวอยู่เป็นประจำ ส่วนของวงศ์ทนงนั้นก็จบมาด้วยเกรดที่ไม่ต่างจากหนุ่มเมืองจันท์นัก แต่สิ่งที่มีคือพอร์ตโฟลิโอที่เก็บรวบรวมผลงานเอาไว้ เมื่อไปสมัครงานนิตยสารก็มีงานเขียนทั้งหนังสือทำมือและงานเขียนที่ได้ลงนิตยสารจริง ซึ่งสองสิ่งนี้นี่เองที่ทำให้วงศ์ทนงได้งาน   a team junior 05.35 จากประสบการณ์การขอฝึกงานของวงศ์ทนงเองที่รู้สึกว่าเวลาไปขอฝึกแต่ละที่ทำไมมันยากจัง และเมื่อได้เข้าไปก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่ ทำให้เมื่อได้ทำนิตยสารอะเดย์เขาเลยคิดทำโครงการ a team junior ที่รับนักศึกษามาฝึกงานแบบมืออาชีพขึ้นมา นักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการจะได้ทำงานจริงตลอดระยะเวลาสามเดือน มีพี่เลี้ยงคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ได้อยู่ในบรรยากาศการบรีฟงานจริงอย่างมืออาชีพ และเล่มสุดท้ายในเดือนที่สามจะเป็นเล่มที่ทีมจูเนียร์จะได้ทำเองทั้งเล่ม ซึ่งโครงการนี้ก็ได้รับความสนใจมาตลอดทุกปี   พอร์ตโฟลิโอ 08.29 เวลาสมัครงานนั้น ถ้าเป็นงานด้านความคิดสร้างสรรค์เวลาสมัครงานอาจต้องคิดวิธีเล่าเรื่องในพอร์ตโฟลิโอให้ดี เพื่อให้สะดุดตาจนถูกเรียกไปสัมภาษณ์ แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็จะอยู่ที่การสัมภาษณ์อยู่ดีว่าคุณมีของตามที่คุณเขียนมาจริงรึเปล่า   หาจุดแข็ง ลบจุดอ่อน 10.35 จากการรับสมัครคนในหลายๆ หน่วยงาน หนุ่มเมืองจันท์คิดว่าคนที่เข้ามาสมัครงานควรจะรู้ว่าจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเองนั้นคืออะไร อย่างตัวหนุ่มเมืองจันท์บอกว่าจุดอ่อนของตัวเองคือเกรด ก็ต้องหาอะไรมากลบ ต้องชูจุดแข็งของตัวเองขึ้นมาก็คือการทำกิจกรรมนักศึกษา ถ้าทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ก็ต้องชูชิ้นงานที่จะทำให้คนสะดุดกับความคิดสร้างสรรค์ของเรา แต่ถ้าเป็นงานด้านบัญชีก็อาจไม่ต้องโชว์ความคิดสร้างสรรค์ขนาดนั้น แต่โชว์ในสิ่งที่บริษัทนั้นต้องการจากตำแหน่งงานของเรา จากนั้นเมื่อผ่านไปถึงขั้นตอนสัมภาษณ์คุณต้องรู้ให้ได้ว่าบริษัทหรือตำแหน่งงานนั้นต้องการอะไรจากตัวคุณ อย่างเช่นมีคนมาสมัครเป็นนักข่าวเค้าก็ต้องรู้ว่าบริษัทต้องการความรอบรู้ ต้องการการสังเกตุ สกิลในการสัมภาษณ์ ซึ่งการจะแสดงให้บริษัทเห็นถึงตรงนี้ได้ในการสัมภาษณ์งาน เราก็ควรจะต้องเตรียมตัวไปให้ดี เก็งโจทย์ไปก่อน แม้ผู้สัมภาษณ์จะมีวิธีการในการทดสอบเราอีกที แต่การเตรียมตัวไปให้ดีก็สามารถช่วยเราได้มากจริงๆ   โชว์อย่างพอดี 13.56 แม้จะบอกว่าเวลาสมัครงานด้านความคิดสร้างสรรค์เราจะต้องโชว์ไอเดียออกมา หรืองานอื่นๆ ก็ต้องพยายามโชว์ความสามารถ แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ก็ต้องมีความพอดีเหมือนกัน ใบสมัครบางคนก็โชว์มากไปจนน่ารำคาญ ถ้าเป็นนักฟุตบอลก็เป็นประเภทเลี้ยงโชว์แต่พื้นฐานไม่ได้แน่นขนาดนั้น อย่างล่าสุดที่วงศ์ทนงเปิดรับสมัครเลขาส่วนตัว ก็มีตัวอย่างจากหลายคนที่ไม่น่าทำตาม อย่างบางคนก็ส่งมาเป็นรูปถ่ายพร้อมข้อความแนบแค่ประโยคเดียวที่ไม่สื่อสารอะไร บางคนก็เขียนชื่อวงศ์ทนงมาผิด แสดงให้เห็นถึงการไม่ทำการบ้าน บางคนก็ไม่รู้ว่าบริษัทนั้นทำอะไรบ้าง ก็ยากที่จะรับมาทำงานด้วยกัน   ความสำคัญของความสามารถพิเศษ 18.43 อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญเวลากรอกใบสมัครงานนั่นก็คือคุณสมบัติพิเศษ เพราะสิ่งนี้จะทำให้คุณโดดเด่นออกมาจากคนอื่นได้ ถ้าคุณทำงานในบริษัทที่เกี่ยวกับการใช้ภาษาก็ให้ใส่ไปเลยว่าคุณพูดได้กี่ภาษา ไม่ว่าจะสมัครงานอะไรก็ควรมีความเชี่ยวชาญพิเศษในด้านนั้นๆ จริง ในทางกลับกันการไม่เชี่ยวชาญในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับงานก็สามารถทำให้คุณชวดงานได้ อย่างเช่นสมัครงานนิตยสารแต่บอกว่าไม่ชอบอ่านหนังสือ หรือสมัครงานพิสูจน์อักษรแต่เขียนผิดในใบสมัคร ก็ควรจะต้องระวังตรงนี้ให้มาก สัมภาษณ์งานแบบหนุ่มเมืองจันท์ 20.51 คำถามที่ถูกถามในการสัมภาษณ์นั้นส่วนมากแล้วจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งงาน สำหรับหนุ่มเมืองจันท์ที่ต้องสัมภาษณ์นักข่าวก็มักจะถามเรื่องความรู้ การสังเกต ทักษะการสัมภาษณ์ ซึ่งจะมีการใส่ความกดดันเข้าไปเพื่อสังเกตว่าเวลาเจความกดดันจะมีปฏิกิริยาอย่างไร หรือตอนที่อยู่ฝ่ายโฆษณาก็มีพี่คนหนึ่งสัมภาษณ์พนักงานขาย เค้าก็หยิบปากกาให้หนึ่งด้ามแล้วบอกว่าคุณลองขายปากกาด้ามนี้ให้ผมซิ หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องของสัญชาตญาณ คำถามยอดฮิตที่ยังไงก็ต้องเจอ 22.06 สิ่งที่คุณต้องเจอแน่ๆ คือการแนะนำตัวคุณเองที่ต้องเตรียมตัวไปให้ดี วงศ์ทนงแนะนำว่าไม่ต้องเล่ายาวมาก แต่ให้คัดประวัติสำคัญ สิ่งที่เกี่ยวกับงาน และสิ่งที่น่าสนใจที่สุดมาเล่าให้ฟัง คำถามต่อมาก็จะเป้นคำถามมาตรฐานอย่างทำไมคุณถึงเหมาะกับงานนี้, ทำไมผมต้องรับคุณ, คุณรู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทบ้าง และคำถามสุดสำคัญอย่างทำไมถึงออกจากงานเก่า ซึ่งคำถามนี้เวลาตอบนั้นไม่ควรวิจารณ์บริษัทเก่าในมุมลบมากเกินไป เพราะถ้าคุณพูดแง่ลบมากบริษัทที่กำลังสัมภาษณ์คุณอยู่ก็จะคิดว่าในอนาคตบริษัทก็คงจะโดนเหมือนกัน เราควรสรุปในเรื่องหลักการมากกว่า อย่างเวลาไม่ตรงกัน เนื้องานไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ อยากเปลี่ยนสายงาน หรืออยากพัฒนาตัวเองให้มากขึ้น อีกหนึ่งคำถามยอดฮิตคือ คุณคิดว่าจุดอ่อนของตัวเองคืออะไร คำถามนี้ทำให้เราเตรียมตัวปรับปรุงและอุดจุดอ่อนตรงนี้ให้ได้ หรืออย่างเวลาบริษัทถามเรื่องเงินเดือนที่คุณอยากจะได้ สิ่งที่คุณควรรู้ไว้ก่อนไปสัมภาษณ์คือฐานเงินเดือนของบริษัทนี้อยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ ทำการบ้านสักนิดคุณจะได้ตอบได้ ซึ่งคำถามเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณต้องเจอแน่นอน และคุณสามารถเตรียมตัวและฝึกซ้อมไว้ก่อนได้เลย นอกจากสิ่งที่จะถูกถาม เมื่อผู้สัมภาษณ์เปิดโอกาสให้ถามกลับก็มีเรื่องที่ต้องระวังเช่นกัน อย่างเช่นเรื่อสิทธิประโยชน์ สวัสดิการ และวันหยุดต่างๆ ที่เราจะได้รับนั้นเป็นเรื่องที่ยังไม่ควรถามทันทีในครั้งแรกของการสัมภาษณ์งาน แนะนำให้ถามนอกรอบหลังจากสัมภาษณ์เสร็จแล้วจะดีกว่า   ผลลัพธ์ของโซเชียลเน็ตเวิร์ก 28.11 อีหนึ่งเรื่องที่เป็นเรื่องสำคัญในสมัยนี้คือเรื่องโซเชียลเน็ตเวิร์ก ฝ่ายบุคคลสมัยนี้นอกจากใบสมัครแล้ว สิ่งต่างๆ ที่เราทำในอินเทอร์เน็ตก็เป็นอีกหนึ่งความสำคัญในการคัดเลือกคน การแสดงความเห็น ทีท่า ทัศนคติ เพราะเวลาเราทำงานมันก็เป็นเรื่องของนิสัยส่วนตัวเช่นกัน บริษัทใหญ่ๆ บางที่ถึงกับบอกว่าจะให้คำตอบของการสัมภาษณ์งานทางเฟซบุ๊ก แล้วเค้าก็จะเข้าไปดูทั้งการใช้ภาษาและทัศนคติของคุณในนั้น เป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณา เหมือนกับบริษัทแห่งหนึ่งที่เวลารับสมัครคนมาทำงานเค้าจะส่งรถไปรับผู้สมัครมาตั้งแต่สนามบินหรือสถานีรถไฟเลย เพื่อมาสัมภาษณ์ หลายคนมองว่าเป็นการแสดงศักยภาพและความพร้อมของบริษัท แต่สิ่งที่ผู้สมัครไม่รู้ก้คือคนขับรถก็เป็นฝ่ายบุคคลคนหนึ่งที่คอยดูพฤติกรรมของคุณตั้งแต่นอกห้องสัมภาษณ์ว่าเป็นอย่างไรบ้าง หรือบางที่ก็ใช้วิธีถามจากแม่บ้านว่าเวลามาเสิร์ฟน้ำให้คุณ คุณมีปฏิกิริยาอย่างไร นี่คือสิ่งที่บริษัทสมัยใหม่ต้องการจะรู้นอกจากในห้องสัมภาษณ์งาน   ลองใส่รองเท้าของผู้สัมภาษณ์ดูบ้าง 31.11 ที่สุดแล้วการสมัครงานมันก็เป็นเรื่องของใจเขาใจเรา บางทีเราอาจจะลองถอยตัวเองออกมาแล้วไปใส่รองเท้าของเจ้าของกิจการและคนที่สัมภาษณ์คุณว่าเค้าต้องการอะไรจากคุณ นั่นคือสิ่งที่คุณควรจะให้กับเค้า และถ้าสิ่งที่คุณเป็นไม่ขัดอะไรกับสิ่งที่เค้าต้องการ ก็จงแสดงออกมาให้เต็มที่   ขอบคุณบทความดีๆ จาก www.themomentum.co  ต้นฉบับ https://themomentum.co/carpediem-ep013/   *beta version

Songkhla Jobd - มืออาชีพ เรื่องอาชีพ

"ลงงานฟรี ไม่มีสมัคร"

info@songkhlajobd.com

Follow Us
ลงทะเบียนเพื่อรับข่าวสาร
© 2017 songkhlajobd.com - All rights reserved.